สาระน่ารู้
อ่านสักนิดเมื่อคุณคิดจะซื้อจักรยาน
ผู้เขียนอ่านเจอเข้าโดยบังเอิญ เห็นว่าน่าสนใจแนวทางของบทความโดนใจคนทั่วๆไป ไม่ว่าจะซื้อมาปั่นเองหรือจะให้ใครปั่น จะเป็นคันแรก หรือคันที่เท่าไหร่ก็สุดแล้วแต่ อย่างน้อยก็ จะได้แบบที่ถูกใจจะ ได้ปั่นได้นานๆ เพื่อสุขภาพของท่านเองขอบคุณ bikerider9.com
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อสำหรับมือใหม่และรวบรวมข้อมูลที่สำคัญๆ ภาษาที่ใช้จะพยายามจะให้เป็นภาษาที่คนทั่วไปอ่านได้ให้มากที่สุด รูปภาพประกอบในบทความเอามาจาก Google เกือบทั้งหมด ไม่ได้นำมาใช้เพื่อหารายได้ใดๆ และจะทำให้รูปภาพมีขนาดเล็กแบบพอมองเห็นได้ หากมีวีดีโอจะแปะเป็นลิ้งก์ให้คลิ๊กนะครับกลัวเยอะแล้วโหลดนานครับ ตัวผมเองก็เป็นมือใหม่ครับ แต่อยากถ่ายทอดประสบการณ์ให้มือใหม่อีกทีครับ ข้อความอาจมีข้อผิดพลาด ควรมีวิจารณญาณในการอ่าน และหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ลองค้นหาข้อมูลจาก google หากหาไม่ได้จริงๆ หรือไม่อัพเดทลองตั้งกระทู้สอบถามเอานะครับ จะมีคนมาช่วยๆกันตอบครับ สังคมจักรยานน่ารักครับ หากมีรายละเอียดที่ผมเขียนผิดพลาดหรือมีสิ่งใดเพิ่มเติมช่วยชี้แนะด้วยนะครับ
###ประเภทจักรยาน###
ปัจจุบัน(พฤศจิกายน 2556) ถ้าหาดูตามเว็บไซต์อื่นๆ อาจไม่ได้อัพเดทครับ
1.เสือภูเขา(MTB...mountain bike)
แบ่งเป็น 2 ชนิดตามลักษณะรถคือประเภทหางแข็งและ full suspension ประเภทหางแข็ง-hardtail แปลตรงตัวเลยคือ "หางแข็ง" เสือภูเขาล้อหน้ามีโช้ค ล้อหลังไม่มี เหมาะสำหรับปั่นทางเรียบ ขรุขระ ถนนดิน โคลน ทางไม่วิบากจนเกินไป หรือ ขึ้นเขาแบบถนนเรียบ เช่น เขาใหญ่ ดอยสุเทพ
ประเภท full suspension-cross country(xc) สำหรับลุยกับทุกสภาพ เสือภูเขาที่มีโช้คหน้าและหลัง สำหรับปั่นทุกเส้น ได้ทั้งทางเรียบ ขรุขระมาก ทางที่อาจมีการกระแทก หรือ มีการกระโดดไม่สูงมากนัก
-downhill เสือภูเขาตัวจริง ทางเรียบยัน ลงเขา รากไม้ ตามป่าลึก กระโดดจากที่สูง รองรับการกระแทกได้ดี แตกต่างกับ xc ที่อุปกรณ์เกือบทุกชิ้นจะมีขนาดใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่ามาก ซึ่งแน่นอนหนักมาก
2.เสือหมอบ(RB...road bike)
สำหรับคนชอบความเร็ว ความแรง ปั่นทางเรียบโดยเฉพาะ ลักษณะจักรยานจะทำให้เล็ก ลื่นและเบาที่สุดเท่าที่สมองคนจะคิดได้ เพราะฉะนั้นจักรยานประเภทนี้จะมีราคาสูงมาก
3.รถพับ(folding bike)
จักรยานทุกประเภทที่พับได้ ผมจะนับรวมในนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะพับแปลกแหวกแนวขนาดไหนก็ตาม จักรยานประเภทนี้ เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีเนื้อที่จำกัด เช่น ปั่นจักรยานไปทำงานเอาจักรยานพับไว้ใต้โต๊ะ เอาจักรยานพับขึ้นรถไฟฟ้า เอาจักรยานขึ้นรถยนต์หลายคันโดยไม่อยากแขวนไว้นอกตัวรถ เป็นต้น ความสำคัญของจักรยานพับนอกจาก เบา ปั่นดีจุดพับ สำคัญมาก รุ่นไหนพับไปนานๆ แล้วยังพับง่าย แข็งแรงไม่คลอน ราคาจะแพงเพราะการออกแบบจุดพับด้วย
4.ไฮบริด(hybrid)
จักรยานไฮบริดเป็นจักรยานระหว่างเสือภูเขาและเสือหมอบคือ ปั่นทางเรียบดีกว่าเสือภูเขาแต่ไม่เท่าเสือหมอบ ปั่นทางขรุขระดีกว่าเสือหมอบแต่ไม่เท่าภูเขา แต่จักรยานประเภทนี้จะออกแบบเป็น3แนวทางคือ
-ไฮบริดทางเรียบ ไฮบริดค่อนมาทางเสือหมอบ การออกแบบ ยางจะเป็นแบบทางเรียบ ไม่มีโช้คเป็นตะเกียบใช้ชุดขับเคลื่อนของเสือหมอบ
-ไฮบริดทางขรุขระ ไฮบริดค่อนมาทางเสือภูเขา การออกแบบ ยางจะเป็นแบบวิบากแต่ไม่ใหญ่ไม่เยอะเท่าเสือภูเขา มีโช้คสำหรับลุยนิดหน่อย ใช้ชุดขับเคลื่อนของเสือภูเขา
-ไฮบริดซิตี้ จักรยานไฮบริดสำหรับคนเมืองโดยเฉพาะ แฮนด์จะแคบกว่าปกติ(เอาไว้ซิกแซกรถติดในเมือง)ไม่มีโช๊ค ยางทางเรียบขนาดเล็ก แต่ใช้ชุดขับเคลื่อนของเสือภูเขา
5.ทัวร์ริ่ง(touring)
จักรยานประเภทท่องเที่ยวระยะไกล การออกแบบ จะให้มีจุดยึดสำหรับใส่ตะแกรง ใส่กระเป๋ามากกว่าประเภทอื่นยางไม่ใหญ่ไม่เล็กผิวเรียบ ออกแบบเฟรมระยะเอื้อมให้ปั่นสบาย บางรุ่นอาจมีจุดเปลี่ยนเกียร์2ที่ ระบบเกียร์จะใช้ของเสือภูเขา เพราะไม่ได้ต้องการความเร็วความต่อเนื่องในการเข้าเกียร์ แฮนด์จะเหมือนกับเสือหมอบเบรกจะใช้เป็นผีเสื้อหรือวีเบรค
6.มินิ(mini bike) และจักรยานเด็ก(kids bike)
จักรยานย่อส่วนให้เล็กลง มีประโยชน์คือ จักรยานเบา ส่วนใหญ่จึงเปลี่ยนจานหน้าให้ใหญ่ขึ้น เปลี่ยนดุมเพื่อความลื่นมากขึ้นเพราะจักรยานล้อเล็กจะมีรอบหมุนล้อถี่เป็นพิเศษ บางคนปั่นเกาะกลุ่มเสือหมอบก็มีเยอะ
7.ฟิกซ์เกียร์(fixed gear)
จักรยานมหาชนของกลุ่มวัยรุ่น มาแรงช่วงปี 2555-2556 จะพบมากในช่วงกลางคืนในกรุงเทพฯ ลักษณะจักรยานคือโม่หรือเฟืองโซ่จะไม่สามารถฟรีได้ ล้อหมุน จานปั่นก็หมุนตาม และเบรคด้วยเท้า หรือจะมีแต่เบรคหน้าเท่านั้น จักรยาน Fixed Gear มีทั้งหมด 5 ชนิดด้วยกัน แล้วแต่ว่าผู้ปั่นนั้นจะหลงไหลในการปั่นแบบไหน
ประเภทที่ 1 : คอมพลีท(complete)
Fixed Gear
ชนิดนี้เป็นสายปั่น มาแบบครบวงจร ตรงตามชื่อ เมื่อแกะกล่องมาจะมีครบทุกอย่าง ไม่ต้องเสียเวลาเพิ่มเติมแต่งอะไรอีกมากมาย เหมาะสำหรับคนที่รักความเรียบง่าย และคนที่เริ่มต่นปั่นจักรยาน Fixed Gear
ประเภทที่ 2 : ทริก(trick)
เป็น Fixed Gear ที่มีความแข็งแรงเพราะจะต้องทนกับแรงกระแทกเพราะจะใช้ในการเล่นท่า วงล้อมีขนาดเล็กเพื่อจะได้
ใช้วาดลวดลายได้ง่ายขึ้น
ประเภทที่ 3 : วินเทจ(vintage)
Fixed Gear ชนิดนี้จะเป็นการรวมเอา อุปกรณ์และชิ้นส่วนที่มีความคลาสสิกมาประกอบรวมเป็นจักรยานคันนึง เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการเก็บสะสม และหลงไหลในความคลาสสิก
ประเภทที่ 4 : แทร็ก(track)
ชนิดนี้เป็นชนิดที่ใช้ในการแข่งขันจริง มีสมรรถนะที่ดีในการปั่น วงล้อใหญ่ ความคล่องตัวสูง
ประเภทที่ 5 : มินิฟิกซ์(mini)
Fixed Gear คันเล็กที่เเหมาะสำหรับคนที่ชอบมิกซ์แอนด์แมทช์ ด้วยตัวเฟรมที่มีขนาดกระทัดลัด พกพาง่าย และมีสีสันน่ารัก
**ที่มาข้อมูลฟิกเกียร์ voicet
8.ครุยเซอร์(cruiser)
จักรยานออกแบบเพื่อให้ปั่นสบายบางรุ่นอาจทำคล้ายมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ คือ เน้นตะเกียบหน้า หรือ โช้คหน้ายาวๆ แฮนด์จะถูกยกสูงและกว้าง เน้นปั่นชิลๆเป็นหลัก
9.บีเอ็มเอ็กซ์(bmx)
จักรยาน bmx ได้รับความนิยมมากเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นก่อนจะมี ฟิกเกียร์เข้ามาแทนที่ ลักษณะจักรยาน เฟรม จุดเชื่อม ออกแบบมาให้ทนมือทนเท้ามาก แฮนด์ยกสูง ล้อ 20 นิ้ว
- สาย racing ก็แบบในรูปประกอบ จานจะใหญ่ ไม่ใส่โรเตอร์
- สาย street & flatlandจักรยานสำหรับเอาไว้เล่นท่าโดยเฉพาะ และมีอุปกรณ์พิเศษเฉพาะ bmx ประเภทนี้ คือ โรเตอร์(เอาไว้ให้แฮนด์หมุนได้ 360 องศา), ที่พักเท้าบริเวณดุมล้อขนาดใหญ่
10.เอกเขนก(recumbent bike)
จักรยานประเภทนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขี่มีความสะดวกสบายมากที่สุด คือ ผู้ขี่นั้นแทบจะนอนขี่เลยละครับ ภาษาชาวบ้านพูดกันเล่นๆ ก็ทำนองว่า "นอนมา" ละครับ จักรยานประเภทนี้ จะได้เปรียบกว่าจักรยานประเภทอื่นๆ ทางด้าน ความลู่ลม เพราะผู้ขี่นั้นแทบจะนอนอยู่แล้วจึงทำให้มีส่วนที่ประทะกับลมน้อยกว่าจักรยานประเภทอื่นครับ
ทางด้านอุปกรณ์นั้นจักรยานประเภทนี้ จะมีจุดติดตั้งอะไหล่ต่างๆ แตกต่างจากจักรยานประเภทอื่นมากครับ ยกตัวอย่าง เช่น จานหน้า ก็จะอยู่หน้าจริง"อย่างนี้ซิถึงเรียกว่าจานหน้าของจริง" ส่วนทางด้านอุปกรณ์อื่นๆนั้นก็แล้วแต่เจ้าของรถเลยครับ ว่าต้องการความสบายมากน้อยแค่ไหน มันไม่มีอะไร ตายตัวสำหรับจักรยานประเภทนี้ครับขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้เป็นเจ้าของจักรยาน "ตรงกับชื่อของจักรยานประเภทนี้จริงๆเลย" ผู้ที่ใช้จักรยานประเภทนี้ส่วนใหญ่ จะเป็นผู้ที่ชอบอะไรแปลกๆไม่เหมือนใคร และ ผู้มีอาการปวดหลังเวลาขี่
จักรยานแบบธรรมดาทั่วไป จึงหันมาขี่จักรยานประเภทนี้
11.ไซโครครอส(cyclocross)
จักรยานไซโครครอสจะมีลักษณะคล้ายกับจักรยานทัวริ่งแต่ต่างกันที่ยางจะเป็นลักษณะวิบาก เอาไว้ปั่นทางเรียบทางดินที่ไม่ขรุขระมาก
12.time trial
จักรยานสำหรับทำเวลาการออกแบบจะคล้ายกับเสือหมอบแต่จะแตกต่างกันที่การออกแบบเฟรม โดยออกแบบให้มีแรงเสียดทานกับอากาศให้น้อยที่สุด(aero dynamic) ล้อหลังจะออกแบบให้ขยับเข้ามาในเฟรม
แฮนด์จะมีแอโร่บาร์(aero bar) สำหรับการหมอบให้คนโดนลมน้อยที่สุด
13.นอนคว่ำ(Prone)
จักรยานแบบนอนคว่ำขี่ แต่ไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่ เพราะนอนหงายปั่นสะบายกว่าเยอะ
15.เรียงแถว(Tandem)
จักรยานสำหรับปั่น 2 คนขึ้นไปในคันเดียว จะพบเห็นบ่อยตามชายหาดและแหล่งท่องเที่ยว จากที่ได้ออกทริปมาจักรยานประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะเป็น คู่ชาย-หญิง เปิดเพลงฟังน่ารักๆ ความเร็ว25 แบบปั่นสบายๆ
16. FAT BIKE
คือFat Bike เป็นจักรยานที่มีขนาดยางเกินจากปกติ โดยทั่วไป ตั้งแต่ 3.7 นิ้ว หรือมีขนาดใหญ่และขอบยางกว้างกว่า 44 mm ได้รับการออกแบบสำหรับการขี่ในภูมิประเทศที่ ชุ่ม อ่อน เช่นหิมะและทราย ดินโคลน ถนนรุกรัง หรือทุกสภาพถนน เพราะจักรยาน Fat Bike จะมีล้อที่โต สามารถขับขี่ได้ทุกสภาพถนน จักรยานเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นด้วยเฟรมขนาดใหญ่และ อยู่เพื่อรองรับขอบกว้าง ถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรก สำหรับการขี่เส้นทางในฤดูหนาวแถบยุโรปและได้มีการแข่งรถ Fat Bike ที่อลาสก้าและเพื่อสำหรับการเดินทางในทะเลทรายของเม็กซิโก ต่อมาได้วิวัฒนาการและขยายไปหลายรูปแบบ เพื่อความสะดวกและคล่องตัวของการขับขี่ เช่นในหิมะ, ทราย, ทะเลทราย, ดินรุกรังและโคลน หรือการขับขี่รูปแบบเดียวกันกับจักรยานเสือภูเขา
ขอบคุณ bikerider9.com ภาพประกอบจาก google