สาระน่ารู้
Sleep cycle คืออะไร?
ฮิต: 381
จริงๆแล้ว เวลาเรานอนหลับไปหนึ่งคืน คนเราจะมีวงจรการนอนหลับเป็นรอบๆที่เรียกว่า cycle อยู่
.
โดย 1 cycle จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ
NON-REM Sleep และ REM Sleep [REM=Rapid Eye Movement]
.
NON-REM เป็นช่วงที่ถูกแบ่งออกเป็น 4 ขั้น หรือ stages
.
stage 1 คือ เริ่มหลับตา หรือช่วงที่เพิ่งหัวถึงหมอน ถ้ามีใครปลุกหรือเรียกในช่วงนี้ จะยังรู้สึกตัวอยู่ มันคือระยะที่เปลี่ยนจากช่วงตื่นเป็นนอนหลับ จะใช้เวลาราว 10-15 นาทีกว่าคนเราจะเริ่มหลับไปจริงๆ
.
stage 2 เรียกว่า Light Sleep เป็นระยะ หลับตื้น ยังหลับไม่ลึกมาก แต่เป็นระยะแรกที่มีการหลับอย่างจริงจัง ยังสามารถปลุกให้ตื่นได้ การทำงานของร่างกาย ความดัน การหายใจ หัวใจ จะทำงานช้าลง
.
stage 3 เรียกว่า Moderate Sleep เป็นระยะ หลับปานกลาง ช่วงนี้คลื่นสมองและชีพจรจะเต้นช้าลง ความมีสติรู้ตัวจะหายไป การเคลื่อนไหวของตาจะหยุดลง จะปลุกให้ตื่นได้ยากขึ้น
.
stage 4 เรียกว่า Deep Sleep เป็นระยะ หลับลึก เป็นระยะหลับลึกที่คนเราจะหลับลึกที่สุด หากถูกปลุกให้ตื่นในช่วงนี้จะรู้สึกตื่นยากกว่าสเตจอื่นๆ เป็นช่วงที่หลับสนิทที่สุดของการนอน ถ้านอนหลับไม่ถึงขั้นนี้ ร่างกายเราจะไม่ได้รับการซ่อมแซมอย่างเต็มที่
.
ต่อจะเป็นช่วงของ REM Sleep
.
REM Sleep ถูกเรียกอีกชื่อว่า Dream Sleep เป็นช่วงของการ หลับฝัน ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เราฝันถึงสิ่งต่างๆ เป็นช่วงที่กล้ามเนื้อต่างๆ ของร่างกายแทบจะหยุดการทำงานกันหมด โดยในช่วงนี้ ตาจะกลอกไปซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว จึงเรียกว่า Rapid eye movement
.
ในวงจรของการนอนหลับ พอผ่านมาถึงขั้นที่เกิดความฝันวงจรกการนอนก็จะหยุด ก่อนจะเวียนไปสู่ขั้นที่ stage N1 ใหม่อีกครั้งเป็นวงกลม ไปเรื่อยๆ โดย 1 cycle ที่มี 4 stages นี้ จะใช้เวลาราว 90-110 นาที ซึ่งควรนอนได้คืนละ 5-6 cycles จึงจะถือว่าเป็นการนอนหลับที่เพียงพอ
.
อะไรที่เรียกว่านอนเพียงพอ?
การนอนหลับให้มีคุณภาพ ไม่ได้หมายถึงการที่คุณนอนจำนวนชั่วโมงเยอะ แต่หมายถึง การเข้านอนให้ถูกเวลาและเพียงพอ และนอนให้ครบ 5 ขั้นตอน
เมื่อเรานอนครบ 5 ขั้นตอน จะเรียกว่า 1 รอบ การนอนครบ 1 รอบ จะใช้เวลาประมาณ 1.5-2 ชั่วโมงต่อรอบ ซึ่งช่วยให้ร่างกายรู้สึกเต็มอิ่มกับการนอน พอตื่นมาจะรู้สึกสดชื่น มีพลังไปทำงานต่อ
.
ต้องนอนนานเท่าไหร่จึงจะดี?
ที่บอกว่า ให้นอนครบ 6-8 ชั่วโมงก็เพราะ ร่างกายเราจะได้ฟื้นฟูตัวเอง 3-4 รอบ แต่ทีนี้ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนนอน 4 ชั่วโมง หรือ 2 Cycle ก็เต็มอิ่มและตื่นมาไม่งัวเงีย แต่บางคนอาจจะต้องนอน 3 หรือ 4 Cycle ถึงจะรู้สึกเต็มอิ่ม
การนอนนั้นไม่ใช่แค่นับชั่วโมงอย่างเดียวแล้วจะนอนหลับได้เต็มอื่มยังขึ้นอยู่กับ เพศสภาพ ช่วงอายุ ความเครียด สภาพแวดล้อมของการนอน การเจ็บไข้ได้ป่วยและยาที่ใช้ที่มีผลต่อการนอนอีก ดังนั้นเราควรจะสังเกตุตัวเองและลองนับ Cycle การนอนเพื่อให้เราได้หลับอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
.
ทำยังไงให้ตื่นมาไม่ง่วงและมีแรงออกไปทำงาน?
ก่อนเราจะเริ่มเข้านอนแนะนำให้คำนวณเวลาการนอนให้ครบ Cycle การนอนเพราะถ้าเราตื่นหรือถูกปลุกระหว่างที่เรายังนอนไม่ครบ Cycle จะทำให้เราตื่นมาแล้วงัวเงียและอยากนอนต่อ หากถูกปลุกตอนที่เรานอนอยู่ stage 1-2 จะไม่ค่อยรู้สึกงัวเงียมากนัก เหมือนตอนที่เรางีบระหว่างวัน
แต่ถ้าถูกปลุกในระหว่างที่เราอยู่ใน stage 3-4 รับรองได้เลยว่าตื่นมาแล้วไม่สดชื่นแน่นอน
.
โดย 1 cycle จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ
NON-REM Sleep และ REM Sleep [REM=Rapid Eye Movement]
.
NON-REM เป็นช่วงที่ถูกแบ่งออกเป็น 4 ขั้น หรือ stages
.
stage 1 คือ เริ่มหลับตา หรือช่วงที่เพิ่งหัวถึงหมอน ถ้ามีใครปลุกหรือเรียกในช่วงนี้ จะยังรู้สึกตัวอยู่ มันคือระยะที่เปลี่ยนจากช่วงตื่นเป็นนอนหลับ จะใช้เวลาราว 10-15 นาทีกว่าคนเราจะเริ่มหลับไปจริงๆ
.
stage 2 เรียกว่า Light Sleep เป็นระยะ หลับตื้น ยังหลับไม่ลึกมาก แต่เป็นระยะแรกที่มีการหลับอย่างจริงจัง ยังสามารถปลุกให้ตื่นได้ การทำงานของร่างกาย ความดัน การหายใจ หัวใจ จะทำงานช้าลง
.
stage 3 เรียกว่า Moderate Sleep เป็นระยะ หลับปานกลาง ช่วงนี้คลื่นสมองและชีพจรจะเต้นช้าลง ความมีสติรู้ตัวจะหายไป การเคลื่อนไหวของตาจะหยุดลง จะปลุกให้ตื่นได้ยากขึ้น
.
stage 4 เรียกว่า Deep Sleep เป็นระยะ หลับลึก เป็นระยะหลับลึกที่คนเราจะหลับลึกที่สุด หากถูกปลุกให้ตื่นในช่วงนี้จะรู้สึกตื่นยากกว่าสเตจอื่นๆ เป็นช่วงที่หลับสนิทที่สุดของการนอน ถ้านอนหลับไม่ถึงขั้นนี้ ร่างกายเราจะไม่ได้รับการซ่อมแซมอย่างเต็มที่
.
ต่อจะเป็นช่วงของ REM Sleep
.
REM Sleep ถูกเรียกอีกชื่อว่า Dream Sleep เป็นช่วงของการ หลับฝัน ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เราฝันถึงสิ่งต่างๆ เป็นช่วงที่กล้ามเนื้อต่างๆ ของร่างกายแทบจะหยุดการทำงานกันหมด โดยในช่วงนี้ ตาจะกลอกไปซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว จึงเรียกว่า Rapid eye movement
.
ในวงจรของการนอนหลับ พอผ่านมาถึงขั้นที่เกิดความฝันวงจรกการนอนก็จะหยุด ก่อนจะเวียนไปสู่ขั้นที่ stage N1 ใหม่อีกครั้งเป็นวงกลม ไปเรื่อยๆ โดย 1 cycle ที่มี 4 stages นี้ จะใช้เวลาราว 90-110 นาที ซึ่งควรนอนได้คืนละ 5-6 cycles จึงจะถือว่าเป็นการนอนหลับที่เพียงพอ
.
อะไรที่เรียกว่านอนเพียงพอ?
การนอนหลับให้มีคุณภาพ ไม่ได้หมายถึงการที่คุณนอนจำนวนชั่วโมงเยอะ แต่หมายถึง การเข้านอนให้ถูกเวลาและเพียงพอ และนอนให้ครบ 5 ขั้นตอน
เมื่อเรานอนครบ 5 ขั้นตอน จะเรียกว่า 1 รอบ การนอนครบ 1 รอบ จะใช้เวลาประมาณ 1.5-2 ชั่วโมงต่อรอบ ซึ่งช่วยให้ร่างกายรู้สึกเต็มอิ่มกับการนอน พอตื่นมาจะรู้สึกสดชื่น มีพลังไปทำงานต่อ
.
ต้องนอนนานเท่าไหร่จึงจะดี?
ที่บอกว่า ให้นอนครบ 6-8 ชั่วโมงก็เพราะ ร่างกายเราจะได้ฟื้นฟูตัวเอง 3-4 รอบ แต่ทีนี้ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนนอน 4 ชั่วโมง หรือ 2 Cycle ก็เต็มอิ่มและตื่นมาไม่งัวเงีย แต่บางคนอาจจะต้องนอน 3 หรือ 4 Cycle ถึงจะรู้สึกเต็มอิ่ม
การนอนนั้นไม่ใช่แค่นับชั่วโมงอย่างเดียวแล้วจะนอนหลับได้เต็มอื่มยังขึ้นอยู่กับ เพศสภาพ ช่วงอายุ ความเครียด สภาพแวดล้อมของการนอน การเจ็บไข้ได้ป่วยและยาที่ใช้ที่มีผลต่อการนอนอีก ดังนั้นเราควรจะสังเกตุตัวเองและลองนับ Cycle การนอนเพื่อให้เราได้หลับอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
.
ทำยังไงให้ตื่นมาไม่ง่วงและมีแรงออกไปทำงาน?
ก่อนเราจะเริ่มเข้านอนแนะนำให้คำนวณเวลาการนอนให้ครบ Cycle การนอนเพราะถ้าเราตื่นหรือถูกปลุกระหว่างที่เรายังนอนไม่ครบ Cycle จะทำให้เราตื่นมาแล้วงัวเงียและอยากนอนต่อ หากถูกปลุกตอนที่เรานอนอยู่ stage 1-2 จะไม่ค่อยรู้สึกงัวเงียมากนัก เหมือนตอนที่เรางีบระหว่างวัน
แต่ถ้าถูกปลุกในระหว่างที่เราอยู่ใน stage 3-4 รับรองได้เลยว่าตื่นมาแล้วไม่สดชื่นแน่นอน